สตม.รวบปากีสถานให้ความช่วยเหลืออาชญากรข้ามชาติ

สตม.รวบปากีสถานให้ความช่วยเหลืออาชญากรข้ามชาติ

วันนี้ (2 พฤศจิกายน 2561) เวลา 10.00 น. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ รรท.รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สรายุทธ สงวนโภคัย รรท.รอง ผบช.สตม. พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รรท.ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ ขลิบเงิน รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.วิญญู อำนวยสมบัติ รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.สมชาย เดชแพ ผกก.1 บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ประวิทย์ ศิริธร ผกก.2 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนต่างด้าวของ บก.สส.สตม. จำนวน 3 คดี ดังนี้
รายที่ 1 รวบปากีสถานให้ความช่วยเหลืออาชญากรข้ามชาติ
พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รรท.ผบก.สส.สตม. สั่งการให้ พ.ต.อ.ประวิทย์ ศิริธร ผกก.2 บก.สส.สตม. พร้อมกำลัง บูรณาการกำลังร่วมกับศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย สืบสวนติดตามตัว นายคาลาท บารี (MR.KHALAT BARI) อายุ ๕๒ ปี สัญชาติปากีสถาน เนื่องจากได้ประกันในคดีให้ที่พักพิงผู้ก่อการร้ายและหลบหนี จนกระทั่งเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2561 เวลาประมาณ 15.30น. เจ้าหน้าที่จึงได้พบตัวนายคาลาท บารี (MR.KHALAT BARI) หนังสือเดินทางประเทศปากีสถาน หมายเลข ES๓๙๙๖๓๒๑ ที่หน้าร้านเคอรี่ เฮ้าส์ เลขที่ ๑๙๙/๒๙ ถ.พัทยากลาง ซ.๑๔ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรีซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลการ เดินทางเข้า-ออก ราชอาณาจักร พบว่า นายคาลาท บารี (MR.KHALAT BARI) เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ทางด่าน ตม.จว.สระแก้ว และได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปประเภทอุปการะครอบครัวไทย ถึงวันที่ ๑๘ ก.ย. ๒๕๖๑ ซึ่งการอนุญาตสิ้นสุดแล้ว เจ้าหน้าที่จึงดำเนินการจับกุมนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี ดำเนินคดีในข้อกล่าวหา “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”
พฤติการณ์ เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2558 ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมกับ สภ.หนองปรือ จว.ชลบุรี และกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ได้จับกุมตัว นายจักตาร์ ซิงห์ ทารา ชาวอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีก่อการร้ายในประเทศอินเดีย โดยลอบสังหาร รมต.อินเดีย และนักการเมืองรวม 19 คน และก่อเหตุโจมตีนครมุมไบ หลังจากถูกจับกุมคุมขังก็ได้หลบหนีออกจากเรือนจำในอินเดียมาหลบซ่อนและตั้งฐานที่มั่นในประเทศไทย และถูกส่งตัวกลับไปดำเนินคดีในประเทศอินเดียตามหมายจับผู้ร้ายข้ามแดน โดยศาลไทย ซึ่งใน ครั้งนั้นได้ดำเนินการจับกุมนายคาลาท บารี (MR.KHALAT BARI) ในข้อหาให้ที่พักพิงผู้ก่อการร้าย (นายจักตาร์ ซิงห์ ทารา หลบซ่อนอยู่ในบ้านของนายคาลาท บารี (MR.KHALAT BARI) ในเมืองพัทยา) ต่อมานายคาลาท บารี (MR.KHALAT BARI) ได้ประกันตัวแล้วหลบหนีออกนอกประเทศไทย ล่าสุดจากการสืบสวนของ กก.2 บก.สส.สตม. และศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย สืบทราบว่านายคาลาท บารี (MR.KHALAT BARI) ได้เดินทางกลับมาฝังตัวอยู่ในเมืองพัทยาอีกครั้ง และยังคงดำรงการติดต่อกับเครือข่ายก่อการร้ายทั้งในปากีสถาน อัฟกานิสถาน และมาเลเซีย ในลักษณะเป็นผู้คอยอำนวยความสะดวกจัดหาเอกสารปลอม ที่พัก ตั๋วเครื่องบิน และโอนเงินนอกระบบ ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามต่ออารยะประเทศ จนกระทั่งถูกจับกุมดังกล่าว
รายที่ 2 จับเยอรมันค้ายา DARK WEB หนีกบดานไทย

พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รรท.ผบก.สส.สตม. สั่งการให้ พ.ต.อ.ประวิทย์ ศิริธร ผกก.2 บก.สส.สตม. พร้อมกำลัง ดำเนินการสืบสวนหาข่าว จากกรณีที่สถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณเยอรมนี แจ้งข้อมูลมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีนายเดวิส มาส (MR.DAVID MASS) อายุ 26 ปี สัญชาติเยอรมัน ถือหนังสือเดินทางเยอรมัน หมายเลข C1V0773KY เป็นผู้ต้องหาหลบหนีตามหมายจับของศาลแขวงเมืองสตาเด (Stade) สหพันธ์สาธารณเยอรมนี ในข้อหาจำหน่ายสารเสพติด และเป็นที่ต้องการตัวของสหพันธ์สาธารณเยอรมนี และถูกออกประกาศตำรวจสากลสืบหาตัว (INTERPOL Diffusion) ไว้แล้ว ได้หลบหนีคดีแล้วเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จนกระทั่งเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2561 เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สส.สตม. ได้ตรวจพบนายเดวิส มาส (MR.DAVID MASS) บริเวณสถานีรถไฟฟ้าพระโขนง ถนนสุขุมวิท แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพฯ จากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางเข้า-ออก ราชอาณาจักร พบว่าอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด จึงจับกุมนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย
พฤติการณ์ นายเดวิส มาส (MR.DAVID MAAS) สัญชาติเยอรมัน เป็นผู้ต้องหาหลบหนีตามหมายจับของศาลแขวงเมืองสตาเด (Stade) สหพันธ์สาธารณเยอรมนี ในข้อหาจำหน่ายสารเสพติด โดยกระทำความผิดในการจำหน่ายยาเสพติดมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3002 ครั้ง มูลค่า 17.5 ล้านบาท เหตุเกิดที่ เมืองบุกซเทฮูเด ฮัมบูร์ก และเมืองอื่นๆ สหพันธ์สาธารณเยอรมนี เป็นที่ต้องการตัวของสหพันธ์สาธารณเยอรมนี และถูกออกประกาศตำรวจสากลสืบหาตัว (INTERPOL Diffusion) ไว้แล้ว ได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561 ด้วยประเภทวีซ่า ผ.30 ทางด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 การอนุญาตสิ้นสุด (จำนวน 257 วัน) โดยมีพฤติกรรมร่วมกับสมาชิกในแก๊งค์ จำหน่ายยาเสพติด โคเคน เอดีเอ็มเอ แอมเฟตามีนซัลเฟต และเม็ดเอ็กซ์ตาซี โดยให้สั่งซื้อทางไปรษณีย์ ผู้ซื้อจะต้องชำระเงินผ่าน Bit Coin (หน่วยเงินของ Bit Coin) หลังจากตำรวจสหพันธ์สาธารณเยอรมนี จับกุมสมาชิกเพื่อนร่วมแก๊งค์ นายเดวิส มาส (MR.DAVID MAAS) ได้หลบหนีมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 มกราตม 2561 นอกจากนี้ นายเดวิส มาส (MR.DAVID MAAS) ยังมีส่วนร่วมในคดีปล้นทรัพย์ (โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์แล็ปท๊อป) เหตุเกิดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ในสหพันธ์สาธารณเยอรมนี

รายที่ 3 ทลายแหล่งค้ากามหญิงชาวอุซเบกีสถาน
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2561 พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รรท.ผบก.สส.สตม.ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.สมชาย เดชแพ ผกก.๑ บก.สส.สตม.ทำการสืบสวนขบวนการค้าประเวณีหญิงชาวอุซเบกีสถานซึ่งอาจตกเป็นเหยื่อแห่งการ ค้ามนุษย์ข้ามชาติ โดยมีพื้นที่เป้าหมายบริเวณย่านซอยนานา หรือ ซ.สุขุมวิท ๓ แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่า มีโรงแรมแห่งหนึ่งตั้งอยู่ใน ซ.สุขุมวิท ๓ มีการลักลอบค้าประเวณีหญิงสาว ชาวอุซเบกีสถาน โดยใช้ห้องพักบริเวณชั้น ๒ ของโรงแรม เป็นสถานที่ค้าประเวณี และมีชายชาวไทยเป็นผู้ดูแล จึงได้วางแผนเข้าจับกุม โดยส่งสายลับเข้าล่อซื้อ ซึ่งสามารถจับกุมผู้ดูแลได้ ๒ คนที่บริเวณล็อบบี้ของโรงแรม ได้แก่ นายบัณดล สมจิตต์ อายุ ๔๕ ปี สัญชาติไทย ทำหน้าที่ดูแลลูกค้าที่มาใช้บริการและเก็บค่าบริการ และ น.ส.ทิกิส เอ็บซ่า เคเจล่า (Miss TIGIST EBSA KEJELA) อายุ ๓๐ ปี สัญชาติเอธิโอเปีย ทำหน้าที่ดูแลห้องพัก จากนั้นได้ขึ้นไปตรวจสอบบริเวณชั้น ๒ พบหญิงชาวอุซเบกีสถานกระจายอยู่ในห้องต่างๆ เพื่อรอลูกค้า และบางส่วนจับกลุ่ม อยู่บริเวณทางเดิน รวมทั้งหมด ๑๑ คน ในการจับกุมครั้งนี้สามารถตรวจยึดเงินสดจำนวน ๒๓,๔๘๐ บาท, ถุงยางอนามัย จำนวน ๗ ชิ้น และเอกสารรายรับรายจ่าย เบื้องต้น นายบัณดลฯ ให้การรับว่า เป็นผู้ดูแลการค้าประเวณีภายในที่เกิดเหตุ โดยเมื่อมีลูกค้าเข้ามาจะพาขึ้นไปให้เลือกหญิงสาว เมื่อตกลงแล้วจะเก็บค่าใช้จ่าย ๓,๘๐๐ บาท และลูกค้าจะใช้บริการภายในห้องชั้น ๒ ซึ่งเป็นห้องพักของหญิงชาวอุซเบกีสถานดังกล่าวเลย ตรวจสอบเบื้องต้น หญิงชาวอุซเบกีสถานเดินทางเข้ามาประเทศไทยโดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยวแล้วแอบลักลอบค้าประเวณีในสถานที่ดังกล่าว ต่อมา พงส.บก.สส.สตม.และ จนท.พม.ร่วมกันสัมภาษณ์คัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์กับหญิงชาว อุซเบฯ ทั้ง ๑๑ คน สรุปผลการสัมภาษณ์คัดแยกฯ ไม่เข้าลักษณะเป็นเหยื่อแห่งการค้ามนุษย์ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหา นายบัณดลฯ และ น.ส.ทิกิสฯ ว่า ร่วมเป็นธุระจัดหาฯ และเป็นผู้ดูแลหรือผู้จัดการการค้าประเวณี ส่วนหญิงชาวอุซเบกีสถานทั้ง ๑๑ คน ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า เข้าไปมั่วสุ่มในสถานการค้าประเวณี นำส่ง พงส.สน.ลุมพินี เพื่อดำเนินคดีต่อไป หลังจากนี้ สตม.ได้ประสานกับ จนท.มูลนิธิ Night life ซึ่งมีประสบการณ์ในการสัมภาษณ์คัดแยกฯ หญิงชาวยูกันดา และชาติอื่นๆ ในพื้นที่ ซ.นานา เข้าสัมภาษณ์คัดแยกฯ อีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่า ไม่มีผู้ใดเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์

ขอบคุณข้อมูลข่าวสาร ที่มา พ.ต.ต.หญิงพัชรี ศรีเผือก สว.ฝอ.5 บก.อก.สตม.

ทีมข่าวเรื่องจริงผานเลนส์รายงาน

Leave a Reply

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com
Share via
Copy link