กรมการปกครอง พาผู้เสียหายเหยื่อร้านทองหัวหมอ บ่ายเบี่ยงไถ่ทองคืน เข้าแจ้งความเพิ่ม

กรณีหนุ่มโพสต์คลิปโต้เดือดกับร้านทองแห่งหนึ่งย่านประชาอุทิศ หลังไปไถ่ทองหนัก 2 บาท จำนำแค่ 2,000 บาท แต่เจอร้านบ่ายเบี่ยง อ้างติดนั่นติดนี่ ไม่ยอมให้ทองคืน ล่าสุดวันนี้ 16 พฤษภาคม 2562 เวลา 09.00 น. ผู้เสียหาย 6 ราย รวมตัวกันเข้าแจ้งความที่ สน.ราษฎร์บูรณะ ด้านเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง เข้ามารับเรื่องและให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย

เรื่องนี้เริ่มจากมีผู้เสียหายหนึ่งรายโพสต์คลิปที่ตัวเองโต้เถียงอย่างดุเดือดกับพนักงานในร้านทองแห่งหนึ่งย่านประชาอุทิศ ในกลุ่มเพจล่า ซึ่งเป็นของกรมการปกครองดูแลเพจ ว่าตนเองเข้าไปไถ่ทองคืนตามที่เจ้าของร้านนัดไว้ แต่กลับไถ่คืนไม่ได้ พนักงานร้านอ้างเจ้าของไม่อยู่ร้าน ต่อมานัดอีกก็อ้างว่าเจ้าของไปงานศพพ่อที่ต่างจังหวัด พอนัดให้มาอีกครั้ง จึงได้ถ่ายคลิปไลฟ์สดทาง Facebook จากนั้นก็มารู้ทีหลังว่าในคลิปที่เขาถ่ายไว้ เจ้าของร้านก็นั่งอยู่ในร้านนั่นเอง และมีผู้เสียหายแสดงตัวออกมาว่าเจอแบบเดียวกันอีกหลายราย

ซึ่งในวันนี้ เวลา 09.00 น. ที่ผ่านมา กลุ่มผู้เสียหายจากร้านทองได้นัดรวมตัวกันมาแจ้งความที่ สน.ราษฎร์บูรณะ จนถึงตอนนี้เข้ามาแล้วถึง 6 ราย โดยผู้เสียหาย 1 ในนั้น คุณพรสุดา ศรีโภภณ บอกว่าตัวเองจำนำทองไว้เมื่อวันที่ 4 เมษายน ทางร้านบอกว่าก่อนจะมาไถ่ทองให้โทรแจ้งก่อน 3 วัน ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ตนได้โทรไปที่ร้าน แต่ได้รับแจ้งให้มาไถ่ทองได้วันที่ 10 พฤษภาคม ปรากฎว่าพอไปถึงที่ร้าน พนักงานบอกว่าเจ้าของร้านไม่อยู่ พอวันที่ 14 พฤษภาคมโทรไปที่ร้านอีกก็โทรไม่ติด จนวันที่ 15 พฤษภาคม ตนเห็นข่าวก็ตกใจรีบมาแจ้งความในวันนี้

อีกรายนางสาวอัมวรรณ ทับโชติ เล่าว่าได้นำทองมาจำนำไว้ 2 บาท ได้เงินจำนวน 15,000 บาท ไว้เมื่อปีที่แล้ว ที่ผ่านมาผ่อนดอกมาเรื่อย จนเมื่อเดือนมกราคม 2562 จะไปไถ่ทองคืน แต่ทางร้านอ้างว่าให้รอก่อนเพราะกำลังทำทองให้ใหม่ เนื่องจากทำทองหาย ตั้งแต่นั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ทองคืน ตนขอยืนยันถ้าตัวเองไม่ได้ทองคืนจะดำเนินคดี กับร้านทองดังกล่าวให้ถึงที่สุด

ขณะเดียวกันในวันนี้รองอธิบดีกรมการปกครอง นายศักดิ์ชัย แตงฮ่อ ได้สั่งการให้นายพลกฤต เรืองสุกใส เจ้าพนักงานการปกครองชำนาญการพิเศษ กรมการปกครอง เดินทางมารับเรื่องและตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น เบื้องต้นพบร้านทองอาจทำไม่ถูกต้อง ซึ่งจากการตรวจสอบใบหลักฐานที่ลูกค้าได้รับจากร้านทอง ปรากฎว่าเป็น”ใบรับซื้อชั่วคราว”ซึ่งใบนี้ก็ไม่มีชื่อร้านทอง รวมถึงไม่มีดอกเบี้ยระบุไว้อย่างชัดเจน จึงถือว่าไม่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตามจะต้องสอบถามผู้เสียหายที่นำทองไปจำนำอีกครั้ง ว่ามีเจตนาเอาทองไปจำนำ หรือต้องการจะเอาไปขายฝากกันแน่ ซึ่งการจำนำต่างกับการขายฝากตรงที่ การจำนำคือการเอาทรัพย์สินไปวางไว้เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ แต่การขายฝากเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ของทรัพย์สินนั้นไปให้แก่ผู้ซื้อเลยในทันที แต่ผู้ขายฝากสามารถที่จะมาซื้อกลับคืนได้ภายในเวลา 3 ปี ซึ่งจะต้องทำสัญญาขายฝากเท่านั้น จึงจะเป็นการขายฝากตามกฎหมาย สรุปว่าให้ดูที่เจตนาของเจ้าของทรัพย์เป็นสำคัญว่าเขาต้องการโอนกรรมสิทธิ์ (ขาย) ให้กับผู้ซื้อหรือไม่ ถ้าใช่และทำสัญญาขายฝากเอาไว้ก็จะเป็นการขายฝาก แต่ถ้าเจตนาของเจ้าของทรัพย์เพียงต้องการส่งมอบทรัพย์สินไว้เพื่อเป็นหลักประกันการกู้เงินก็จะเป็นจำนำ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเจตนาแท้จริง ต้องการเพียงแค่จำนำ ดังนั้นบิลรับซื้อชั่วคราวนี้ก็จะเป็นนิติกรรมอำพราง ไม่มีผลบังคับใช้อย่างสัญญาขายฝาก

ต่อมาตัวแทนร้านทองดังกล่าวได้นำทองหนัก 2 บาท มาคืนให้ นายพีระภัทร ถาบรรดิษฐ ( หรือหนุ่ม) ซึ่งสร้างความดีใจให้กับนายหนุ่มเป็นอย่างมากที่ได้ทองคืน โดยตัวแทนเจ้าของร้านทองพูดกับนายหนุ่มว่า เจ้าของร้านเครียดมากอยากฆ่าตัวตาย นายหนุ่มยังเผยอีกว่าที่ได้ทองล่าช้า เจ้าของร้านทองคาดสถานการณ์ผิดคิดว่าตนเองจะยังไม่ไปไถ่ทองเร็วขนาดนี้ จึงได้นำทองของตนไปจำนำต่อยังร้านทองอื่น ในราคา 3 หมื่นบาท พอตนไปไถ่ทองกลับคืน จึงไม่สามารถนำทองมาให้ได้ทันที หากตนไม่ไลฟ์สดในครั้งนี้อาจไม่ได้ทองคืนอย่างแน่นอน เนื่องจากผลัดมาหลายครั้งแล้ว นายหนุ่มยังกล่าวต่อว่าขอขอบคุณสื่อทีวีและสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่นำเรื่องราวของตนไปเผย เพื่อเตือนประชาชนจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ เพราะตนก็ไม่รู้จะไปร้องเรียนที่ไหน หากไม่เป็นข่าวตนเองก็ไม่รู้ว่าจะได้ของคืนหรือเปล่า

ในส่วนของพนักงานสอบสวน ได้เรียกเจ้าของร้านทองดังกล่าวให้มาพบในเวลา 10.00 น. แต่เจ้าของร้านทองขอเลื่อนนัดเป็นช่วงบ่าย โดยในส่วนคดีความ ที่ประชาชนทยอยมาแจ้งความนั้น ต้องรอเจ้าของร้านทองดังกล่าวมาพบพนักงานสอบสวนก่อน ว่าจะดำเนินการให้กับผู้เสียหายอย่างไร สามารถไกล่เกลี่ยกันได้หรือไม่ หากตกลงกันไม่ได้ทางพนักงานสอบสวน ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป