สำนักงานเกษตรจังหวัดพิจิตรขอประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรดูแลพืชหลังน้ำท่วมในพื้นที่การเกษตร

สำนักงานเกษตรจังหวัดพิจิตรขอประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรดูแลพืชหลังน้ำท่วมในพื้นที่การเกษตร

สภาวะที่อากาศเปลี่ยนแปลง เป็นปัจจัยทำให้พืชผลทางการเกษตรไม่สามารถปรับตัวได้ โดยเฉพาะการประสบปัญหาภัยพิบัติจากอุทกภัย ซึ่งจังหวัดพิจิตร เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ประสบปัญหาดังกล่าว สำนักงานเกษตรจังหวัดพิจิตร จึงได้นำวิธีการดูแลพืชหลังน้ำลด สำหรับพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดพิจิตร มีการดูแลรักษา โดยแบ่งเป็น

ข้าว ในกรณีที่น้ำท่วมขังไม่นาน น้ำสูงไม่ถึงยอดข้าวและต้นข้าวยังไม่ตายให้รีบระบายน้ำออกจากแปลงนาให้เหลือ 5 – 10 เซนติเมตร และให้พื้นฟูข้าวหลังจากน้ำลด โดย ตาที่ต้นข้าวยังเขียวอยู่เกิน 3 วัน ต้นข้าวในนามีสีเขียวมากขึ้นไม่ต้องใส่ปุ๋ย ให้ดูแลโรคและแมลงรบกวนเท่านั้น แต่หากต้นข้าวในนาเริ่มมีอาการสีเหลืองที่ใบ ให้ใส่ปุ๋ยยูเรีย อัตรา 3 – 5 กก.ต่อไร่ เพื่อฟื้นฟูสภาพต้นข้าว(ไม่ควรใส่ปุ๋ยยูเรียมากเกินคำแนะนำจะทำให้ต้นข้าวเกิดโรคได้) สำหรับแปลงนาที่ข้าวออกรวง ให้ระบายน้ำจนแห้งและห้ามใส่ปุ๋ยเพราะจะทำให้ดินร้อน และต้นข้าวตายง่ายขึ้น ในกรณีเกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวระยะสุกเต็มที่เพื่อหนีน้ำ ให้นำข้าวทีเก็บเกี่ยวไปตากเพ่อลดความชื้นโดยเร็ว สำหรับแปลงข้าวที่ตายเสียหายโดยสิ้นเชิงให้เกษตรกรติดต่อขอรับการช่วยเหลือตามระเบียบของทางราชการที่สำนักงานเกษตรอำเภอ ที่ท่านได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวไว้

ไม้ผล ไม้ยืนต้น หลังน้ำท่วมใหม่ๆ ขณะที่ดินยังเปียกอยู่ ห้ามนำเครื่องจักรกลหนักเข้าไปในพื้นที่ และห้ามบุคคล รวมทั้งสัตว์เข้าไปเหยียบย่ำบริเวณโคนต้นพืชโดยเด็ดขาด เพราะดินที่ถูกน้ำท่วมขังจะมีโครงสร้างง่ายต่อการถูกทำลาย และเกิดการอัดแน่นได้ง่าย ซึ่งเป็นผลเสียต่อการไหลซึมของน้ำ รวมทั้งจะกระทบกระเทือนต่อระบบรากของพืช ทำให้ต้นไม้ทรุดโทรม และอาจตายได้ เพื่อช่วยให้ต้นพืชตั้งตัวเร็วขึ้น ควรมีการพ่นปุ๋ยทางใบให้แก่พืช เพราะในระยะนี้ระบบรากของพืชยังไม่สามารถดูดกินธาตุอาหารพืชจากดินได้ตามปกติ ปุ๋ยทางใบอาจใช้ปุ๋ยน้ำสูตร 12 – 12 – 12 หรือ 12 – 9 – 6 หรือจะใช้ปุ๋ยเกล็ดสูตร 21 – 21 – 21 และ 16 – 21 – 27 ละลายน้ำพ่นให้แก่พืชก็ได้ นอกจากนี้สามารถเตรียมปุ๋ยทางใบที่มีส่วนผสมของ น้ำตาลเด็กซ์โตรส 600 กรัม (6 ขีด) ฮิวมิคแอซิด 20 ซีซี (2.5 ช้อนแกง) ปุ๋ยเกล็ดสูตร 15 – 30 – 15 จำนวน 20 กรัม (1.5 ช้อนแกง) โดยผสมสารดังกล่าวในน้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ) ควรเติมสารจับใบลงไปเล็กน้อย และอาจใส่สารป้องกันกำจัดโรคและแมลง ตามความจำเป็น ควรพ่นสัก 2 – 3 ครั้ง ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย เมื่อน้ำลดแล้ว และต้องการจะปลูกพืช อาจทำได้ 2 วิธีคือปลูกแบบไถพรวนน้อยครั้งโดยใช้เครื่องมือที่มีน้ำหนักเบา และกระทำหลังจากที่ดินเริ่มแห้งเป็นการกำจัดวัชพืชไปด้วยในตัว และลดการรบกวนดินและปลูกแบบไม่ไถพรวน วิธีนี้เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ยังเปียกชื้นอยู่

ทั้งนี้ เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย หากมีพื้นที่ทำการเพาะปลูกมีพืชตายหรือเสียหายโดยสิ้นเชิง จะมีการช่วยเหลือตามจำนวนพื้นที่เพาะปลูกที่เสียหายจริง ไม่เกินรายละ 30 ไร่ ในอัตรา ดังนี้ 1) ข้าว ไร่ละ 1,113 บาท 2) พืชไร่ ไร่ละ 1,148 บาท 3) พืชสวนและอื่น ๆ ไร่ละ 1,690 บาท การช่วยเหลือดังกล่าวสำหรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรเท่านั้น สำหรับเกษตรกรที่มีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้าน หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเกษตรจังหวัดพิจิตร กลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดพิจิตร 056-613423 ต่อ 103

Leave a Reply

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com
Share via
Copy link