จับกุมผู้ต้องหาลักทรัพย์นักท่องเที่ยวบนรถโดยสาร(ทัวร์30)


ตามนโยบายของรัฐบาลให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล ต.ท.เชษฐา โกมลวรรธนะ ผบช.ทท. ,พล.ต.ต.คัชชา ธาตุศาสตร์,พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง รอง ผบช.ทท.,พล.ต.ต.วรพงษ์ ทองไพบูลย์ ผบก.ทท.1,พ ต.อ.ศารุติ แขวงโสภา,พ.ต.อ.อำนาจ โฉมฉาย รอง ผบก.ทท.1และ พ.ต.อ.เกื้อกมล ดวงประทีป ผกก.1 บก.ทท.1 ดำเนินการกวดขันจับกุมกลุ่มบุคคลต่างชาติ ที่ได้เข้ามากระทำความผิดในประเทศไทยลักษณะขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อีกทั้งดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ กระทั่งเมื่อวันที่18กันยายน2562 ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว กก.1 บก.ทท.1 ได้รับแจ้งจากนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน ว่าบัตรเครดิตจำนวน2ใบได้หายระหว่างโดยสารรถทัวร์จากเกาะพะงันมาที่กรุงเทพฯ และต่อรถทัวร์ไปยังเสียมเรียบ จนมาทราบภายหลังว่าได้ถูกนำไปใช้ จำนวน6ครั้ง รวมมูลค่าความเสียหายเกือบหนึ่งแสนบาท ทั้งนี้ทางด้านผู้บังคับบัญชาจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวนกก.1บก.ทท.1ออกสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน จนสามารถออกหมายจับผู้ก่อเหตุดังกล่าวได้ กระทั่งนำไปสู่การจับกุม นายธวัชรัตน์ หรือพิธาวัขร์ หรือประสิทธิ์ หรืออนุชิต ฝ้ายเพ็ชร์ หรืออัครฐิติวีรกุล อายุ57ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญามีนบุรี ในความผิดฐาน “ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน,ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิ์ใช้เพื่อประโยชน์ในการชำระสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่น แทนการขำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสด” โดยจับกุมได้ที่บริเวณแมนชั่นแห่งหนึ่ง ย่านบางอ้อ กรุงเทพมหานคร พฤติการณ์การก่อเหตุ จะทำเป็นขบวนการ โดยจะมีพนักงานประจำรถโดยสาร(ทัวร์30)ถือโอกาสขณะที่นักท่องเที่ยวเผลอ จะลอดตัวไปยังช่องพิเศษซึ่งได้เจาะไว้แล้วไปยังห้องเก็บสำภาระใต้ท้องรถและลงมือก่อเหตุลักทรัพย์สิน หรือหากเป็นรถโดยสารปกติจะอาศัยช่วงนักท่องเที่ยวอยู่ห่างจากกระเป๋าหรือเผลอตัว ก็จะลงมือลักทรัพย์ เช่นเงินสด บัตรอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นพนักงานประจำรถจะส่งต่อให้กับนายธวัชรัตน์ นำบัตรมารูดซื้อสินค้าราคาแพงตามห้างสรรพสินค้าต่างไปก่อนจะนำสินค้าได้มาทั้งหมดขายต่อแลกเป็นเงินสดกลับมาเพื่อที่นำมาแบ่งกัน ซึ่งทางนายธวัชรัตน์ ได้ก่อเหตุลักษณะนี้มาหลายครั้งและหลายพื้นที่ เคยต้องหาคดีความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์,ลักทรัพย์ และรับของโจร โดยศาลพิพากษาให้จำคุกมาแล้ว2ครั้ง ที่เรือนจำกลางจังหวัดนครราชสีมา และเรือนจำกลางจังหวัดภูเก็ต และยังเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในความผิดฐาน”ร่วมกันลักทรัพย์ในยวดยานสาธารณะเวลากลางคืนโดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นฯเอาไปเสียซึ่งเอกสารผู้อื่นและใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นเพื่อประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าแทนเงินสดโดยมิชอบ” ซึ่งอยู่ระหว่างประกันตัวและหลบหนีศาลอีกด้วย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวจะดำเนินการสืบสวนขยายผล เผื่อติดตามหาผู้ร่วมกระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป

ภาพข่าว แบกกล้องสะพายเป้

Leave a Reply

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com
Share via
Copy link