ม.อยู่สบาย เสียหายกว่า 50 ล้านบาท หลัง “ลูกบ้าน” กล่าวหาหละหลวมความปลอดภัย จี้ “ลูกบ้านคู่ความ” ทำตามสัญญายอมความ ลงโฆษณาขอโทษ-แจงข้อเท็จจริง ภายใน 7 วัน

ม.อยู่สบาย เสียหายกว่า 50 ล้านบาท หลัง “ลูกบ้าน” กล่าวหาหละหลวมความปลอดภัย จี้ “ลูกบ้านคู่ความ” ทำตามสัญญายอมความ ลงโฆษณาขอโทษ-แจงข้อเท็จจริง ภายใน 7 วัน

นายธวัช วีระสวัสดิ์ ทนายความบริษัทพหุธน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด แถลงเรียกร้องให้นายเจษฎา หาริแสง ลูกบ้านของหมู่บ้านอยู่สบาย 8 จ.นครปฐม ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ของศาลจังหวัดนครปฐม ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2562 หลังจากที่มีคดีฟ้องร้องหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย กล่าวหาว่าโครงการอยู่สบาย8 ละเลยการดูแลรักษาความปลอดภัย ทำให้เกิดการโจรกรรมทรัพย์สินภายในบ้านของนายเจษฎา ทั้งนี้หลังจากที่มีคดีความฟ้องร้องนั้น ทางศาลได้ไกลเกลี่ยและเจรจายอมความระหว่างกัน โดยในสัญญายอมความดังกล่าว ระบุให้นายเจษฎา ลงโฆษณาผ่านสื่อสารมวลชนเพื่อขอโทษและชี้แจงว่าเรื่องที่กล่าวหานั้นไม่เป็นความจริง

“เรื่องนี้ผ่านไปกว่า 4 เดือนแล้ว แต่ลูกบ้านที่เป็นคู่ความยังไม่ดำเนินการสัญญายอมความ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับโครงการเป็นอย่างมาก เพราะได้สร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนทั่วไป และบุคคลที่เข้ามาชมบ้านตัวอย่าง จนทำให้โครงการไม่สามารถขายบ้านในโครงการได้ตามเวลาที่บริษัทพหุธนฯ วางแผนไว้ อย่างไรก็ตามยอมรับว่าในข้อกล่าวหาของลูกบ้านที่โพสต์ข้อความจนสร้างความเสียหายเรื่องถูกโจรกรรมทรัพย์สินนั้น ตำรวจท้องที่ได้เข้าตรวจสอบแล้วไม่พบร่องรอยการงัดแงะ หรือรื้อค้นบ้าน แม้ในชั้นการไกล่เกลี่ยของศาลจะไม่นำพยานหลักฐานสืบค้นข้อเท็จจริงแต่เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความเกิดขึ้นและลงนามรับทราบร่วมกันแล้ว ควรต้องรับผิดชอบเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเกิดขึ้นอีก” นายธวัช กล่าว

นายธวัช ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าเหตุที่นายเจษฎายอมความต่อเรื่องนี้ต่อศาลทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีทีท่าว่ายอมความและยังนำเรื่องฟ้องร้องต่อ
สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) อาจเป็นเพราะสิ่งที่เป็นข้อกล่าวหาโครงการนั้นไม่ใช่เรื่องจริง อีกทั้งหากคดีที่ฟ้องร้อง และมีการเรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท หากนำไปสู่การสืบพยาน และตรวจสอบอาจต้องแพ้คดีและชดใช้ค่าเสียหาย

ด้าน น.ส.กษมา อเนกวรพงศ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดโครงการอยู่สบาย กล่าวถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นว่า ตามแผนของโครงต้องปิดการขายบ้านในโครงการทั้งหมด 49 หลัง ตั้งแต่ปี 2561 แต่ปัจจุบันยังคงบ้านในโครงการอีก 12 หลัง ทั้งนี้หลังจากเกิดเหตุที่นายเจษฎากล่าวหาโครงการด้านมาตรการรักษาความปลอดภัยและการดูแลลูกบ้านในโครงการผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดความไม่มั่นใจของประชาชนที่เข้ามาติดต่อชมโครงการ ซึ่งตนถูกถามถึงข้อเท็จจริงของข้อกล่าวหาซึ่งสืบค้นได้จากสื่อสังคมออนไลน์ และ อินเตอร์เน็ต ทำให้ยอดขายตั้งแต่ ช่วงกลางปี 2561 ที่นายเจษฎาโพสต์ข้อกล่าวหาผ่านทางสังคมออนไลน์ตกลง และมีลูกค้าที่เดิมตกลงจะซื้อบ้านในโครงการ ยกเลิกการจองและซื้อขาย กว่า 10 ราย หากคำนวณเป็นค่าเสียหายทั้งหมดจะอยู่ที่ 50 ล้านบาท ดังนั้นเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นและคาดว่าจะมีต่อไปทางโครงการขอเรียกร้องให้นายเจษฎา ลบข้อความที่โพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และลงโฆษณาขอโทษรวมถึงชี้แจงข้อเท็จจริงผ่านสื่อสารมวลชนโดยทันที

“ปัจจุบันทางโครงการดูแลความปลอดภัยของลูกบ้านและตรวจตราพื้นที่อย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัยของลูกบ้าน ซึ่งระยะเวลาที่ผ่าน
มาไม่เคยเกิดเหตุโจรกรรมเกิดขึ้นในโครงการแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งบ้านของคุณเจษฎาขณะนี้ยังพบผู้อาศัย แต่เป็นการปล่อยให้บุคคลอื่นเช่าอาศัย ขณะที่เพื่อนบ้านใกล้เคียงไม่เคยพบเหตุการณ์ขโมยขึ้นบ้านหรือทรัพย์สินสูญหายจากการโจรกรรม ดังนั้นขอให้ผู้ที่สนใจโครงการมั่นใจในมาตรการรักษาความปลอดภัยและการดูแลของโครงการด้วย ทั้งนี้งานด้านอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทประกอบกิจการมานานกว่า 15 ปี และไม่เคยละเลยการดูแลลูกบ้านให้มีความปลอดภัยและได้รับความสะดวกสบาย ดังนั้นขอความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบธุรกิจที่มีความรับผิดชอบกับลูกค้าด้วย” น.ส.กษมา กล่าว.

อั๋น นพรัตน์ รายงาน

Leave a Reply

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com
Share via
Copy link