ตม.1 รวบสาวไทยเครือข่ายแก๊งหลอกลวงทำธุรกรรมออนไลน์โอนเงินข้ามชาติ

1.ตม.1 รวบสาวไทยเครือข่ายแก๊งหลอกลวงทำธุรกรรมออนไลน์โอนเงินข้ามชาติ
2.ตม.1จับหนุ่มต่างด้าวหล่อล่ำลักลอบทำงานนวดสปาหาลูกค้าออนไลน์ แฝงมั่วสุมเซ็กส์และเสพยา ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ ของบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นๆ ที่มีหมายจับและเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กำหนดมาตรการเชิงรุกเกี่ยวกับหมายจับค้างเก่า  โดยให้เพิ่มความเข้มในการสืบสวน  จับกุมเพื่อดำเนินคดีกับบุคคลที่มีหมายจับ  โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ดำเนินการตรวจสอบคนไทยที่มีหมายจับและ  คนต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยวันนี้(6 พ.ย.62) พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.เจนกมล  คำนวล รอง ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.ชัชวาลย์ ทิพย์พิชัย ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 พร้อมชุดสืบสวน ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้ายตามหมายจับ ดังนี้ คดีที่ 1  ตม.1 รวบสาวไทยเครือข่ายแก๊งหลอกลวงทำธุรกรรมออนไลน์โอนเงินข้ามชาติ   เจ้าหน้าที่ กก.สืบสวน บก.ตม1 ได้ร่วมกันวางแผนจับกุม สาวไทยเครือข่ายแก๊งค์หลอกลวงทำธุรกรรมออนไลน์โอนเงินข้ามชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งค์หลอกลวง ตามหมายจับศาลอาญาที่ ๑๕๙๒/๒๕๖๒ ลงวันที่ ๒๔ ต.ค.๖๒ ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา และร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ผู้ที่ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิ์ใช้เพื่อประโยชน์ในการชำระสินค้าค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสดหรือใช้เบิกถอนเงินสด” การจับกุมในคดีนี้เกิดจากการสืบสวนและประสานข้อมูลของเจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.1 และสน.พญาไท ทำให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย62 ผู้เสียหายได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เป็นการแจ้งเตือนว่า ข้อมูลธนาคารหรือแอพพลิเคชั่นธนาคารของท่านถูกเข้าใช้งาน หากท่านไม่ได้เข้าใช้งานให้ทำการเปลี่ยนรหัสผ่าน โดยกดลิ้งแอดเดรสที่แนบมา พร้อมกรอกข้อมูล เลขบัตรเดบิต รหัสผ่านสำหรับกดเงินสด(Password) เลขบัตรประชาชน 13 หลัก และรหัสลับการทำธุรกรรม(OTP) จากนั้นผู้เสียหายได้เข้าใช้งานแอพพลิเคชั่นอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง แล้วตรวจสอบพบว่ามีการโอนเงินออกจากบัญชีผู้เสียหายไปยังบัญชีธนาคารอื่น ๕ บัญชี รวมมูลค่าความเสียหาย ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท(หนึ่งล้านบาทถ้วน) ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกกลุ่มคนร้ายหลอกลวงเอาข้อมูลธนาคารไปใช้และได้ไปซึ่งทรัพย์สินโดยทุจริต จากการตรวจสอบข้อมูลเส้นทางการเงิน พบหลักฐานการโอนเงินออกจากบัญชีธนาคารของผู้เสียหายไปยังบัญชีธนาคารของกลุ่มคนร้ายจำนวน 6 ราย  โดยเงินที่ถูกโอนจากบัญชีของผู้เสียหายจำนวน 1,000,000 บาท ได้พบว่าถูกกดถอนออกจากบัญชีที่ประเทศ

มาเลเซีย และยังได้ตรวจสอบพบอีกว่า ข้อมูลการทำธุรกรรมการโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายดังกล่าวดำเนินการผ่านระบบออนไลน์โดยมีที่อยู่ตนทาง(IP Address)ที่ประเทศมาเลเซีย
คดีนี้ ผู้ต้องหาที่ 6 เป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่รับโอนเงินจากผู้ต้องหาที่ 1 จำนวน 180,000 บาท ผ่านระบบ Internet Banking และเงินจำนวนนี้ถูกกดออกจากบัญชีที่ประเทศมาเลเซีย โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้
จับกุมสมาชิกแก๊งค์นี้ได้แล้ว จำนวน 3 ราย และออกหมายจับไว้แล้วอีก 3 ราย ต่อมาจากการประสานและตรวจสอบข้อมูลทำให้ทราบว่า ผู้ต้องหาที่ 6 สาวไทยซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งค์หลอกลวงทำธุรกรรมออนไลน์โอนเงินข้ามชาติเป็น
บุคคลตามหมายจับของศาลอาญา ที่ยังไม่ถูกจับกุมดำเนินคดี ได้หลบเข้ามาพักอาศัยอยู่ที่ชุมชนเทพทวี ซอย ๘ ถนนลาดพร้าว ๑o๑ แยก ๔๒ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้วางแผน ออกสืบสวน หาข่าว และแฝงตัวเข้าตรวจสอบบริเวณที่พักดังกล่าว จนแน่ชัดว่าพบว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันตามหมายจับ จึงได้แสดงตัวและเข้าทำการจับกุมตัวผู้ต้องที่ 6 ได้สำเร็จ แล้วได้ส่งตัวผู้ต้องหาที่ 6 ให้พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ดำเนินคดีต่อไป
สตม.ขอให้ประชาชนทั่วไปได้โปรดพึงระมัดระวังในการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบออนไลน์ช่องทางต่างๆในปัจจุบันซึ่งมีอยู่หลากหลายวิธี ในปัจจุบันกลุ่มอาชญากรได้อาศัยช่องโหว่ของช่องทางเหล่านี้สร้างวิธีการหลอกลวงฉ้อโกงประชาชนโดยมีการกระทำผิดในลักษณะเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำ มีความเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย กระทำการผ่านขั้นตอนทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ยากต่อการตรวจสอบ ติดตามจับกุม แต่การหลอกลวงด้วยวิธีการเหล่านี้จะไม่สำเร็จได้เลยหากผู้ทำธุรกรรมออนไลน์มีความละเอีดรอบคอบและระมัดระวังคดีที่ 2 ตม.1จับหนุ่มต่างด้าวหล่อล่ำลักลอบทำงานนวดสปาหาลูกค้าออนไลน์ แฝงมั่วสุมเซ็กส์และเสพยา  เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.สืบสวน บก.ตม.๑ ได้สืบทราบข้อมูลจากสื่อโซเชียลว่ามีร้านนวดสปาสำหรับผู้ชาย ตั้งอยู่บริเวณซอยสวนพลู ถนนสาทรใต้ เขตสาทร กรุงเทพฯ เปิดให้บริการกับบุคคลทั่วไปและมีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโซเชียลหลายช่องทาง โดยทางร้านได้มีการเปิดเว็ปไซด์เพื่อบอกที่ตั้งร้าน หมายเลขโทรศัพท์ PR ประจำร้าน เพื่อนัดหมายเวลาเข้าไปใช้บริการและโฆษณาบริการของทางร้านและมีการลงรูปซึ่งอ้างว่า เป็นพนักงานนวดของทางร้านกว่า 60 คน ภาพถ่ายพนักงานส่วนใหญ่ไม่สวมเสื้อ เผยสรีระท่อนบนทั้งหมด และพนักงานนวดบางคนสวมกางเกงในเพียงตัวเดียว    ซึ่งจากการสังเกตุของเจ้าหน้าที่เห็นว่าพนักงานบางคนมีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายคนต่างด้าว  เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้จัดกำลังแฝงตัวเข้าไปสืบสวนหาข่าว จนทราบว่าร้านนวดสปาดังกล่าวใช้พนักงานนวดทั้งหมดเป็นผู้ชาย ทั้งคนไทยและคนต่างด้าว ทุกคนผ่านการคัดเลือกว่าต้องรูปร่างและหน้าตาดีเพื่อเป็นการดึงดูดลูกค้าให้สนใจมาใช้บริการ ส่วนการให้บริการนวดสปาให้บริการทั้งลูกค้าชายและหญิงในห้องนวดที่หรูหราและเป็นส่วนตัว    เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.สืบสวน บก.ตม.๑ ได้นำกำลังเข้าตรวจสอบร้านนวดสปาดังกล่าว  พบว่า บริเวณภายนอกอาคารมีการจัดทำสวนหย่อม น้ำพุ สถานที่ออกกำลังกาย และที่สำหรับพักรอของลูกค้าที่มาใช้บริการ ส่วนภายในอาคารจะพบกับบาร์ และพื้นที่สำหรับนั่งรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม และมีห้องกระจกสูงยาวต่อไปถึงชั้น 2 ของอาคาร ภายในห้องกระจกมีพนักงานนวดชายกว่า 20 คน ส่วนใหญ่ไม่สวมเสื้อนั่งรอให้ลูกค้าเรียกเพื่อไปให้บริการนวด  และมีการแยกห้องนวดเป็นห้องเล็กมากกว่า 20 ห้อง จากการตรวจสอบพบพนักงานที่เป็นคนต่างด้าวและคนไทยที่กระทำความผิด จำนวน 9 ราย ในความผิดดังต่อไปนี้ ผู้ถูกจับที่ 1 สัญชาติเมียนมา ข้อหา “เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต”     ผู้ถูกจับที่ 2 – 4 สัญชาติเมียนมา ข้อหา “เป็นคนต่างด้าวทำงานนอกเหนือสิทธิจะทำได้”     ผู้ถูกจับที่ 5 สัญชาติเมียนมา และผู้ต้องหาที่ 6 สัญชาติกัมพูชา “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต”     ผู้ถูกจับที่ 7 – 9 (คนไทย) “เสพสารเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า)”  นอกจากนี้ภายในร้านสปาดังกล่าว ยังพบว่ามีการขายถุงยางอนามัย และสารหล่อลื่น ไว้ให้บริการกับลูกค้าที่มาใช้บริการด้วย ภายหลังการแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิของผู้ต้องหาให้ผู้ถูกจับ  ทั้ง 9 ราย ทราบ เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ถูกจับที่ 1 – 6    ส่งพนักงานสอบสวน บก.สส.สตม.  และนำผู้ถูกจับที่ 7 – 9 ส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป  สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507  ซ.สวนพลู  แขวงทุ่งมหาเมฆ  เขตสาทร  กรุงเทพมหานคร  10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

ขอบคุณข้อมูลข่าวสาร ที่มา พ.ต.ต.หญิงพัชรี ศรีเผือก สว.ฝอ.5 บก.อก.สตม.

ทีมข่าวเรื่องจริงผานเลนส์รายงาน

Leave a Reply

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com
Share via
Copy link