จับกุมมิจฉาชีพหลอกลวงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ร่วมลงทุนประกอบธุรกิจนำเที่ยวและธุรกิจให้บริการต่อวีซ่า ซึ่งมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมากและมีมูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท

จับกุมมิจฉาชีพหลอกลวงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ร่วมลงทุนประกอบธุรกิจนำเที่ยวและธุรกิจให้บริการต่อวีซ่า ซึ่งมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมากและมีมูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุม กลุ่มมิจฉาชีพที่มีพฤติการณ์หลอกลวง หรือฉ้อโกงประชาชนและชาวต่างชาติ
จากทุกช่องทาง อันเป็นการซ้ำเติมปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิท-19
ซึ่งทำให้เสียภาพลักษณ์ของประเทศ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตามสั่งการของนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องและให้มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.นิทัศน์ ลิ้มศิริพันธ์ ผบช.ทท., พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ อรัญวัฒน์ ,พล.ต.ต อภิชาติ สุริบุญญา รอง ผบช.ทท., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ทท.1, พล.ต.ต.รณกร ฤทธิรงค์ ผบก.ทท.2, พล.ต.ต.กฤษณ์ วาฤทธิ์ ผบก.ทท.3 ได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ดำเนินการสืบสวน ติดตาม จับกุมผู้กระทำความผิด และผู้ต้องหา
ตามหมายจับคดีสำคัญ
โดยวันนี้ (2 เม.ย.64 ) เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.นิทัศน์ ลิ้มศิริพันธ์ ผบช.ทท. เป็นประธานพร้อมผู้บังคับบัญชาและข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้อง และนางสาวศิริวรรณ พรเลิศวิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ
นำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เข้าร่วมแถลงข่าวผลดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดและผู้ต้องหา
ตามหมายจับคดีสำคัญ ดังนี้
1. กรณี จับกุมมิจฉาชีพหลอกลวงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ร่วมลงทุนประกอบธุรกิจนำเที่ยวและธุรกิจให้บริการต่อวีซ่า ซึ่งมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมากและมีมูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท
เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว
นำโดย พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.ควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ตรวจสอบกรณีได้รับเรื่องร้องเรียนว่า
มีการหลอกลวงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ (ญี่ปุ่น-สิงคโปร์) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ให้ร่วมลงทุนในธุรกิจนำเที่ยวและให้บริการต่อวีซ่า โดยพบคดีดังกล่าว มีผู้เสียหายเป็นชาวต่างชาติกว่า 20 คน รวมมูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท จากการสืบสวนติดตามเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง ได้ดังนี้
นางสาววรินทร (สงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงเชียงใหม่ที่
จ.69/2564 และ จ.70/2564 ลงวันที่ 1 ก.พ. 64 ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงทรัพย์” โดยจับกุมได้เมื่อวันที่
30 มี.ค 64 ที่บริเวณอาคารเลขที่ 261/1-173 ยุคลรัตน์คอนโดมีเนี่ยม อาคารบี ห้อง 261/154 แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพ โดยได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ช้างเผือก ภ.จว.เชียงใหม่

พฤติการณ์แห่งคดี คือ น.ส.วรินทรฯ ผู้ต้องหา ได้มีการเปิด “บริษัท โลโคโมชั่นทัวร์ จำกัด” หรือ LCMT Travel ประกอบธุรกิจนำเที่ยวปรากฏผลการดำเนินธุรกิจไม่ประสบผลสำเร็จ จึงหันมาทำธุรกิจเกี่ยวกับการต่อวีซ่าหรือขอวีซ่า ประเภทเกษียณอายุ (Retirement) ซึ่งมีหลักเกณฑ์ว่าผู้ขออนุญาตขอวีซ่าต้องมีเงินในบัญชีจำนวน 800,000 บาท โดยใช้ชื่อบริษัทเดิม ประกอบกับ น.ส.วรินทรฯ ผู้ต้องหา มีแฟนเป็นชาวญี่ปุ่น
จึงมีความสามารถในการสนทนาภาษาญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี มีบุคลิกน่าเชื่อถือ จึงได้ชักชวนชาวญี่ปุ่นและสิงคโปร์ มาร่วมลงทุนโดยเสนอผลตอบแทน 10% ต่อเดือน จนมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสนใจร่วมลงทุนกว่า 20 ราย
โดยในช่วงแรก ๆ ได้ให้ผลตอบแทนตามที่ได้เสนอจริง แต่ช่วงหลัง ๆ ผู้เสียหายไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ได้เสนอไป พยายามทวงถาม น.ส.วรินทรฯ ผู้ต้องหาแต่ได้รับการบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด จึงทราบว่าถูกหลอกลวงและทำให้
เกิดความเสียหาย มูลค่าความเสียหายรวมกันไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท จึงได้พากันไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสวบสวน สภ.ช้างเผือก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีผู้เสียหายที่ยังไม่มาแจ้งความร้องทุกข์อีกจำนวนมาก พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติศาลออกหมายจับในคดีดังกล่าว ต่อมา
กองกำกับควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ได้ทำการสืบสวนติดตามจนสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้ตามกฎหมาย
2. กรณี จับกุมผู้ต้องหาแอบอ้างว่าสามารถออกใบอนุญาตประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ให้ได้ โดยไม่ต้องผ่านการดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวน กก.1 บก.ทท.1 จับกุมผู้ต้องหา คือ
จับกุมตัว นางสาวสุภาเพ็ญ ฯ อายุ 52 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 611/2564
ลงวันที่ 29 มี.ค. 64 ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคลคลหนึ่ง”
พฤติการณ์แห่งคดี คือ ผู้ต้องหามีพฤติกรรมแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ

ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการขอใบอนุญาตประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ เช่น เจ้าหน้าที่กรมการท่องเที่ยว , เจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาจารย์ของมหาวิทยาลัย (ซึ่งมีหลักสูตรเกี่ยวกับอาชีพมัคคุเทศก์) เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ และหลอกลวงโดยใช้วิธีการโฆษณาประกาศข้อความผ่านทางเฟสบุค และช่องทางอื่นตามเว็บไซต์ต่างๆ โดยอ้างว่าตนสามารถออกใบอนุญาตมัคคุเทศก์(บัตรไกด์)ได้ เมื่อมีผู้สนใจ ผู้ต้องหาก็จะทำการติดต่อพูดคุยรายละเอียดผ่านทางโทรศัพท์และแอปพลิเคชันไลน์ จนสามารถทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าผู้ต้องหาสามารถติดต่อประสานงาน เพื่อให้สามารถออกใบอนุญาตมัคคุเทศก์(บัตรไกด์)ได้โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดจนมีผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปที่บัญชีธนาคารของผู้ต้องหา จำนวนหลายครั้ง รวมมูลค่าความเสียหายเป็นเงินจำนวนกว่า 300,000 บาท และหลังจากผู้เสียหายโอนเงินไปแล้ว ปรากฏว่าผู้ต้องหาไม่สามารถออกใบอนุญาตมัคคุเทศก์

ได้จริงตามที่กล่าวอ้าง จึงทราบว่าถูกหลอกลวงและได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวน กก.1 บก.ทท.1 ได้จับตัวกุมได้ในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติพบว่า นางสาวสุภาเพ็ญฯ เคยต้องโทษในคดีลักทรัพย์ ในพื้นที่ สน.ห้วยขวาง , สน.ลาดพร้าว และ สน.ทองหล่อ มาก่อนอีกด้วย
3. กรณี การจับกุมคดี “Romance Scam หรือ แสร้งรักออนไลน์” ซึ่งเป็นกรณีชาวต่างชาติปลอมเฟสบุ๊คเป็นบุคคลหน้าตาดี โยร่วมมือกับหญิงไทยหลอกโอนเงินค่าพัสดุจากต่างประเทศ
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวน กก.1 บก.ทท.1., กก.1 บก.ทท.2., กก.2 บก.ทท.3., จับกุมผู้ต้องหา คือ
จับกุมผู้ต้องหา คือ
3.1 นางสาว วนิดา ฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดบุรีรัมย์ที่ จ.67/2564 ลงวันที่ 23 มี.ค. 64 ถูกจับกุมตัวหน้าบ้านเลขที่ 59/48 ถ.เทพประทาน หมู่ที่1 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต
3.2 นางสาวธัญชนกฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดบุรีรัมย์ที่ จ.68/2564 ลงวันที่ 23 มี.ค. 64
หน้าบ้านเลขที่ 29/96 ถนนรัษฎานุสรณ์ ซอยแม่กลิ่น หมู่ที่ 3 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต
โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกจับกุมในความผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” และ “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น”
พฤติการณ์แห่งคดี คือ ก่อนถูกจับ กลุ่มผู้ต้องหาได้ใช้เฟซบุ๊กปลอมชื่อ Amit Khan ซึ่งมีภาพ

โปรไฟล์เป็นชาวต่างชาติผิวขาวหน้าตาดี ประกอบอาชีพนักบิน แอดมาเป็นเพื่อนกับผู้เสียหาย และได้คุยกันเรื่อยมา ซึ่งในระหว่างคุยกันกลุ่มผู้ต้องหามีการส่งภาพถ่ายเป็นภาพเงินสดจำนวนมาก ทองคำ เครื่องประดับราคาสูง ให้ผู้เสียหายดู เพื่อให้เชื่อว่าตนเองมีทรัพย์สินจำนวนมาก จนกระทั่งเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 กลุ่มผู้ต้องหาได้โทรศัพท์มาหาผู้เสียหายเพื่อหลอกลวงว่ามีพัสดุมูลค่าสูงจัดส่งมาให้แก่ผู้เสียหาย โดยมีค่าจัดส่งเบื้องต้นจำนวน 21,000 บาท บาท นอกจากนี้กลุ่มผู้ต้องหายังได้ใช้แอพพลิเคชั่นไลน์โดยใช้ชื่อโปรไฟล์ว่า BP solution แอดเข้ามาสนทนากับผู้เสียหายในเรื่องการชำระค่าส่งพัสดุดังกล่าวอีกทางหนึ่งเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ โดยได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินชำระค่าพัสดุเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง และในส่วนที่เหลือให้ไปชำระในขณะที่ไปรับพัสดุได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จนกระทั่งผู้เสียหายหลงเชื่อ และได้โอนเงินไปจำนวน 2 ครั้ง มูลค่าความเสียหายรวม 51,000 บาท ต่อมาเมื่อผู้เสียหายไปรับสินค้าด้วยตัวเองที่สนามบินสุวรรณภูมิ ปรากฏว่าไม่มีพัสดุถึงผู้เสียหาย จึงทราบว่าถูกหลอกลวง และได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน จนกระทั่งกลุ่มผู้ต้องหาถูกจับกุมใน

เวลาต่อมา เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้รับส่วนแบ่งค่าจ้างจากชาวไนจีเรียคนหนึ่งซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สืบสวนขยายผลต่อไป
กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ขอเรียนว่าการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 คดีนี้ โดยในคดีแรก
มีผู้เสียหายเป็นชาวต่างชาติจำนวนหลายรายถูกหลอกให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจกับผู้ต้องหาซึ่งเป็นหญิงไทย มีมูลค่าความเสียหายค่อนข้างสูงและเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ในการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี ส่วนคดีที่ 2 และ 3 แม้มูลค่าความเสียหายจะไม่มากนักและเป็นการหลอกลวงที่มีแผนประทุษกรรมที่คล้ายกับคดีฉ้อโกงอื่นๆ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว จึงเป็นการแจ้งเตือนภัยไปยังพี่น้องประชาชนให้พึงระมัดระวัง กลุ่มมิจฉาชีพที่ปัจจุบัน แฝงตัวมาหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่างๆ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวขอฝากถึงนักท่องเที่ยวและพี่น้องประชาชน ที่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ สามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วน ได้ที่สายด่วนหมายเลข 1155 ตลอด 24 ชั่วโมง

ข่าวประชาสัมพันธ์ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว

Leave a Reply

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com
Share via
Copy link