สลดพบหนุ่มไม่ทราบสัญชาติ อายุประมาณ 30-35 ปี เป็นศพลอยน้ำเจ้าพระยา พบบาดแผลแตกบริเวณคิ้วขวา

วันที่ 4 เมษายน 2566 เวลา 18.00 น.

ร้อยตำรวจโท สุวิจักรณ์ น้อยศรี รอง สว.สอบสวน สน.ปากคลองสาน รับแจ้งมีผู้เสียชีวิตลอยน้ำอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณใต้สะพานกรุงเทพ จึงรีบรุดจัดกำลังพร้อมประสานแพทย์นิติเวชศิริราช และ อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งพร้อมนำเรือกู้ภัยทางน้ำเร่งรัดตรวจสอบที่เกิดเหตุทันที

เมื่ออาสาสมัครนำเรือออกปฏิบัติการมาถึงที่เกิดเหตุพบร่างผู้เสียชีวิตลักษณะลอยคว่ำหน้าอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณใต้สะพานกรุงเทพ เมื่อแรกพบสังเกตุเห็นว่าเป็นศพผู้ชาย 1 ราย จึงนำเรือกู้ภัยเร่งเก็บกู้ร่างผู้เสียชีวิตโดยทันที และนำลากจูงกลับเข้าฝั่งบริเวณท่าเรือปากคลองสาน แขวง คลองสาน เขต คลองสาน กรุงเทพมหานคร เพื่อนำมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และแพทย์นิติเวชโรงพยาบาลศิริราช ทำการตรวจสอบเบื้องต้น

เมื่อนำศพขึ้นบนฝั่งท่าเรือปากคลองสานจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบผู้ตายเป็นชาย รูปร่างสันทัด ผิวเนื้อดำแดง ตัดผมรองทรง ใส่ต่างหูที่ใบหูข้างซ้ายสีดำทรงกลม ส่วนสูงประมาณ 160-165 ซม. อายุประมาณ 30-35 ปี สวมใส่เสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีเทา กางเกงยีนส์ขายาว สวมรองเท้าผ้าใบสีน้ำเงิน ไม่พบเอกสารติดตัว มีรอยสักเป็นรูปหน้ากากปีศาจ ญี่ปุ่น ที่บริเวณแขนซ้าย ส่วนหัวไหล่ข้างขวามีรอยสักรูป หน้ากากนักรบโบราณญี่ปุ่น คิ้วขวามีรอยแผลแตกยาวประมาณ 2 นิ้ว ลึกประมาณ 1 นิ้ว มีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก เบ้าตาเขียวช้ำ คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง และยังไม่สามารถระบุสัญชาติได้เพราะไม่มีเอกสารหลักฐานใดๆรวมทั้งทรัพย์สินก็ไม่มีติดตัวมาเลย

จากการสอบถาม น.ส.สุจิตตรา ขยัน
อายุ 29 ปี เป็นพนักงานของ กทม. บอกเล่าว่า ตนทำงานกวาดพื้นในสวยเสร็จแล้วก็เดินมาดูเค้าตกปลากัน เพราะมีคนมาตกปลา พอเดินมาถึงเค้าก็บอกว่ามีศพลอยน้ำ แต่ทางกู้ภัยจะเรียกว่าเป้าหมายลอยน้ำ ตนจึงประสานไปทางกู้ภัย ตอนนั้นเวลาประมาณ 6 โมง 10-15 นาที เห็นส่วนแขนชูขึ้นมาก่อน แล้วน้ำซัดเข้ามาก็เห็นส่วนศรีษะ โผล่ขึ้นมา

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และแพทย์นิติเวชโรงพยาบาลศิริราช ยังไม่สรุปสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงมอบหมายให้อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งนำร่างผู้เสียชีวิตไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งที่นิติเวชศิริราช และจะติดตามญาติมาสอบถามถึงสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้ง แล้วจะลงพื้นที่ตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดโดยรอบอีกครั้ง ก่อนที่จะสรุปสาเหตุของเหตุการณ์ที่แท้จริงได้ และจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป