จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทางด่วน 2 ได้เข้าจับกุมผู้ต้องสงสัยชายชาวจีน มีพฤติการณ์อุ้มลักพาตัวผู้หญิงสัญชาติจีน มัดมือมัดเท้าไว้ในรถ

จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทางด่วน 2 ได้เข้าจับกุมผู้ต้องสงสัยชายชาวจีน มีพฤติการณ์อุ้มลักพาตัวผู้หญิงสัญชาติจีน มัดมือมัดเท้าไว้ในรถ โดยสามารถสกัดจับได้บริเวณทางลงด่วนพระราม 9 ใกล้เคียงโรงพยาบาลปิยะเวท เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา

ต่อมาเวลา 17:40 พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางมายัง สน.มักกะสัน เพื่อร่วมประชุมกับทีมพนักงานสอบสวน ติดตามคดีดังกล่าว โดยระบุกับสื่อมวลชนสั้น ๆ ว่าขอประชุมติดตามความคืบหน้าก่อน แล้วจะแถลงข่าวให้สื่อมวลชนทราบ

จากนั้นเวลา 18:40 พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ร่วมกันแถลงข่าวคดีชายชาวจีนอุ้มลักพาตัวหญิงชาวจีนมัดมือมัดเท้า แต่สามารถสกัดจับได้บนทางด่วนพระราม 9 โดย พล.ต.ต.นพศิลป์ ระบุว่า จากการสืบสวนและสอบปากคำทั้งชายชาวจีนผู้ต้องหาและหญิงชาวจีนผู้เสียหาย ได้ข้อมูลว่า หญิงชาวจีนรายนี้อายุ 27 ปี เดินทางเข้ามายังราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา โดยวีซ่านักท่องเที่ยวมีอายุ 2 เดือน ก่อนหน้านี้หญิงผู้เสียหายเคยเดินทางเข้ามาในประเทศไทยประมาณ 3-4 ครั้ง ทำหน้าที่เป็นเอเยนต์พาคนไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีใต้ และตัวผู้เสียหายเองก็เพิ่งทำศัลยกรรมกลับมาจากประเทศเกาหลีใต้ แล้วเข้ามาท่องเที่ยวพักผ่อนที่ประเทศไทย

ปรากฏว่า มีเพื่อนแนะนำชายผู้ต้องหาคนดังกล่าว ผ่านแอพพลิเคชั่น telegram ก็รู้จักและพูดคุยด้วยกันประมาณ 10 กว่าวัน ก่อนที่เมื่อคืนที่ผ่านมา ทั้งคู่ได้นัดแนะไปทานอาหารปิ้งย่างและดื่มสุรากัน โดยทางผู้เสียหายให้การว่า ระหว่างที่ดื่มสุราไปยังไม่หมดขวด ตนเองรู้สึกมีอาการมึนศีรษะและจำความอะไรไม่ได้อีกเลยหลังจากนั้น เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็พบว่าตนเองอยู่ในสภาพที่ร่างกายเปลือยเปล่าอยู่บนห้องพักของผู้ต้องหาในซอบรามคำแหง 81 เมื่อตั้งสติได้ ผู้ต้องหาก็บอกผู้เสียหายว่า เดี๋ยวจะพาไปทานข้าว จากนั้นก็ดำเนินการแต่งกายเสื้อผ้าและบอกผู้เสียหายว่าจะพาไปเที่ยวที่พัทยา ก่อนที่ผู้ต้องหาจะพาผู้เสียหายขึ้นรถ Toyota Yaris คันเกิดเหตุออกไปจากโรงแรมของผู้เสียหาย

ตอนแรกผู้หญิงนั่งหน้าข้างคนขับ ภายหลังได้ย้ายไปนั่งข้างหลังเพื่อรับประทานอาหารที่ซื้อมา ปรากฏว่าในขณะที่กำลังจอดทานข้าวอยู่บนรถ ผู้ต้องหาได้เข้ามาพูดจาข่มขู่และบีบคอให้ผู้เสียหายเชื่อฟัง ก่อนจะขับรถไปยังที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการไล่ติดตามอยู่ว่าเป็นจุดไหน แล้วหลังจากนั้นก็เอาเชือกมามัดมือมัดเท้าผู้เสียหาย ก่อนพูดจาข่มขู่เรียกค่าไถ่จากผู้เสียหายจำนวน 200,000 หยวนหรือประมาณ 1 ล้านบาทไทย หญิงผู้เสียหายได้ต่อรองไว้ว่า ตนไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก จึงพยายามติดต่อขอยืมเงินจากเพื่อน เพื่อนก็โอนเงินมาให้ 50,000 หยวน หรือ 250,000 บาทไทย จากนั้นก็ตกลงกันว่าจะพาหญิงผู้เสียหายไปกดเงินเพื่อแลกเป็นเงินไทยก่อนจะขึ้นทางด่วนศรีนครินทร์มุ่งหน้ามาทางห้วยขวาง ก่อนเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนบนทางด่วนเกิดขึ้น

ซึ่งจากภาพวงจรปิดบนทางด่วนจะเห็นว่า ผู้ต้องหาลงมาพูดคุยกับเจ้าของรถ fortuner สีขาวที่ถูกขับชน แต่ทางผู้เสียหายก็อาศัยจังหวะที่กำลังพูดคุยกัน แกะมัดเชือกซึ่งมัดแบบหลวม ๆ แล้วปีนมาที่เบาะที่นั่งคนขับ ก่อนจะเปิดประตูวิ่งหนีออกมา มุ่งหน้าไปยังรถแท็กซี่สีเหลืองคันที่ปรากฏในคลิป จะสังเกตเห็นว่า ผู้ต้องหา เหมือนจะพยายามที่จะเดินตามไปแต่สุดท้ายก็หันกลับมาคุยกับคนขับรถ Fortuner ส่วนคนขับรถ Fortuner จากในวงจรปิดจะเห็นว่ายืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของรถ fortuner ทำให้ไม่เห็นขณะที่ผู้หญิงวิ่งลงมาจากรถ

ในเวลาต่อมา แท็กซี่สีเหลืองคันดังกล่าวจึงขับไปส่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่บริเวณด่านเก็บเงินอโศก เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทางด่วน2 จึงได้ดำเนินการไล่กล้องวงจรปิดเพื่อตรวจสอบ จนมาเจอผู้ต้องหาและสามารถสกัดจับกลุ่มได้ โดยจากการตรวจค้นรถ Toyota Yaris ของผู้ต้องหา พบเชือกที่ใช้มัดผู้เสียหาย และเงินสดที่ผู้ต้องหาพกติดตัวมาประมาณ 110,000 บาท และเงินตราต่างประเทศจำนวนหนึ่ง โดยผู้เสียหายให้การยืนยันว่า เชือกดังกล่าวผู้ต้องหานำมามัดมือและเท้าของผู้เสียหายจริง ๆ

สำหรับประวัติของนายจ้าว อู่ หลิน ผู้ต้องหาสัญชาติจีนมีอายุ 36 ปี เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยจำนวน 4 ครั้ง โดยเดินทางมาจากรัฐดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2565 เดินทางออกวันที่ 10 กรกฎาคม 2565 / ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2566 เดินทางออกวันที่ 11 กรกฎาคม 2566 / ครั้งที่ 3 วันที่ 16 กรกฎาคม 2566 เดินทางออกวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 / และครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา ก่อนก่อคดีในครั้งนี้

จากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาให้การว่าทำงานเป็นพนักงานขับรถอยู่ที่ดูไบ การเข้ามาครั้งล่าสุดนี้ ผู้ต้องหาพำนักในประเทศไทยด้วยวีซ่า 15 วัน พำนักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในซอยรามคำแหง 81 และเมื่อคืนที่ผ่านมาก็พาหญิงผู้เสียหายไปที่โรงแรมดังกล่าว โดยเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาไปชี้จุดเกิดเหตุและเก็บรวบรวมพยานหลักฐานภายในห้องแล้ว อีกทั้งจะดำเนินการประสานขอข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เพื่อสืบหาประวัติว่าผู้ต้องหารายนี้เคยมีประวัติก่อคดีจากประเทศจีนหรือไม่

โดยขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหากับผู้ต้องหาจำนวน 3 ข้อหา ได้แก่ เรียกค่าไถ่ / หน่วงเหนี่ยวกักขัง / ทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ / และการกระทำความผิดฐานอนาจาร โดยหลังจากนี้จะนำผู้เสียหายไปตรวจร่างกายโดยละเอียด หากพบคราบอสุจิก็เตรียมแจ้งข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเพิ่มอีก 1 ข้อหา

พล.ต.ต.นพศิลป์ ระบุเพิ่มเติมว่า จากพฤติการณ์ของผู้ต้องหา เชื่อว่าผู้ต้องหาพูดคุยกับผู้เสียหายแล้วถูกคอถูกใจกัน และเห็นว่าผู้เสียหายเองน่าจะเป็นคนที่มีเงิน จึงเตรียมการที่จะก่อเหตุมัดมือมัดเท้าเรียกค่าไถ่จากผู้เสียหาย โดยพฤติการณ์แบบนี้ คล้ายคลึงกับ คดีที่คนจีนอุ้มคนจีนด้วยกันย่าน RCA เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในคดีนี้ยังพบว่าผู้ต้องหากระทำความผิดเพียงคนเดียว แต่กำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ผู้ต้องหาอาจจะมีเครือข่ายกับคนรู้จักที่อยู่ที่ประเทศจีนหรือที่ดูไบที่อาจจะเกี่ยวข้องหรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นข้อสงสัยที่ว่า ทำไมการเดินทางเข้าประเทศไทยครั้งที่ 3 ถึงเป็นการเดินทางเข้าออกภายใน 1 วัน จึงเชื่อว่าผู้ต้องหาน่าจะกระทำความผิดในลักษณะแบบนี้หลายครั้ง แต่ที่ผ่านมาผู้เสียหายในอดีตอาจจะไม่กล้าเข้ามาแจ้งความ อีกครั้งผู้เสียหายก็ให้การว่า หากผู้ต้องหาได้เงินแล้ว ผู้ต้องหาจะเดินทางออกนอกประเทศทันที จึงอยู่ในระหว่างการสืบสวนขยายผลต่อไป ว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิดในลักษณะแบบนี้มาก่อนหรือไม่ในประเทศ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ต้องหา มีบัตรอนุญาตทำงานในราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งส่วนตรงนี้นั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลอยู่

ส่วนประเด็นที่ว่า ทำไมผู้ต้องหาถึงดูไม่รีบร้อนหลังจากที่เกิดรถชนหรือไม่พยายามที่จะไปตามผู้เสียหายนั้น พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่า เป็นเพราะผู้ต้องหาคิดว่าตนเองคงหลบหนีไปไหนไม่ได้และพยายามที่จะพูดคุยทำความเข้าใจกับคนขับรถ Fortuner เพราะคงกลัวว่าอาจจะมีความผิดมากกว่านี้ หากพยายามที่จะหลบหนีหลังจากที่ตนเองขับรถชน ประมาณว่าปล่อย ผู้เสียหายไปเลยเอา ตัวเองให้รอดก่อน

ส่วนรถยนต์ที่ผู้เสียหายขับมานั้น พบว่าเป็นรถเช่ามาตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน เช่าวันละ 5,000 บาท โดยมีกำหนดคืนในวันนี้ 14 กันยายน ซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าหลังจากเกิดเหตุผู้ต้องหาคงเตรียมที่จะทิ้งรถและหลบหนีไป

สำหรับขั้นตอนการดำเนินคดีหลังจากนี้นั้น ทางพนักงานสอบสวนจะนำตัวผู้ต้องหาและผู้เสียหายไปตรวจร่างกายและหาสารเสพติดที่โรงพยาบาลตำรวจ ส่วนตัวผู้ต้องหานั้น หลังจากที่นำตัวไปตรวจร่างกมวและชี้จุดเกิดเหตุ ก็จะดำเนินการสอบปากคำอย่างละเอียดในวันพรุ่งนี้ ก่อนจะนำตัวไปฝากขังต่อศาลในวันเสาร์ที่ 16 กันยายน เมื่อดำเนินคดีเสร็จสิ้นก็เตรียมที่จะผลักดันออกนอกประเทศต่อไป

ทั้งนี้ พล.ต.ต.นพศิลป์ ยังกล่าวขอบคุณคนขับรถ Fortuner และคนขับรถแท็กซี่ ซึ่งถือว่าเป็นพลเมืองดี ที่สามารถให้การช่วยเหลือผู้เสียหายให้รอดพ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้และช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจให้สามารถจับกุมผู้ต้องหา ซึ่งคดีดังกล่าวนั้น ทำให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศเสียหาย จึงฝากประชาสัมพันธ์ว่า หากพบเห็นพฤติการณ์คุกคาม หรือจับตัวชาวต่างชาติไปกระทำความผิด สามารถแจ้งตำรวจได้ในทันที

ส่วนประเด็นที่ว่าหลังจากนี้รัฐบาลจะมีนโยบายฟรีวีซ่ากับชาวจีนนั้น พล.ต.ต.นพศิลป์ ระบุว่า เรื่องนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เข้าหารือกับทางนายกรัฐมนตรี และได้มอบนโยบายให้กับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เพิ่มมาตรการการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างเข้มงวดและเฝ้าจับตาระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศเช่นนี้อีก

Leave a Reply

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com
Share via
Copy link
Powered by Social Snap
%d bloggers like this: