เสียงสะอื้นจากผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุคนร้ายลอบวางเพลิงเผาโรงงานที่เจาะไอร้อง

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 เวลาประมาณ 00.30 – 02.00 น. เกิดเหตุ คนร้ายลอบวางเพลิงร้านค้า อาคาร สถานประกอบการ เผาทรัพย์สิน กล้องวงจรปิด สายส่งสัญญาณโทรศัพท์ ยานพาหนะ ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือนร้อนเป็นวงกว้าง โดยกลุ่มผู้ก่อเหตุมุ่งทำลายระบบเศรษฐกิจ และบั่นทอนความน่าเชื่อของเจ้าหน้าที่รัฐ

ห้างหุ้นจำกัด อุตสาหกรรมนราดินขาว โรงงานเลขที่ 77/1 หมู่ที่6 ตำบลจวบ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เป็นหนึ่งในธุรกิจของภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นครั้ง นางนันทรัตน์ อาเทศธุรพงศ์ เจ้าของกิจการห้างหุ้นจำกัด อุตสาหกรรมนราดินขาว
กล่าวว่า ในคืนวันที่ 22 มี.ค.67 ในช่วงเวลาประมาณ 01.10 น. ตนได้รับแจ้งจากนายสาบูดิง ดือราเเม นายก อบต. จวบ ว่า มีเหตุเพลิงไหม้ในพื้นที่ จึงได้เร่งประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อขอรับความช่วยเหลือ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง พร้อมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าดับเพลิงที่ลุกไหม้ภายในโรงงาน ความเสียหายอยู่ระหว่างการตรวจสอบ พร้อมระบุ ขณะนี้ได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างหนัก เพราะทั้งเสียขวัญและเสียกำลังใจจากเหตุทรัพย์สินที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงตนผู้เป็นหลาน ซึ่งดำเนินกิจการในพื้นที่มากว่า 60 ปีต้องได้รับความเสียหาย โดยมีมูลค่าความเสียหายสูงมาก แทบจะหมดสิ้นทั้งโรงงาน ขณะที่ทางเราเองยังมีหนี้สินที่ต้องชำระกับธนาคารและหนี้สินอื่นๆอีกหลายรายการ การที่โรงงาน รถ แผงวงจรควบคุม อุปกรณ์การทำงานของเราถูกเผาทำลายไปส่งผลให้การประกอบธุรกิจต้องหยุดชะงักลงรายได้จากส่วนนี้หายไปเลย

จากที่เป็นคนในพื้นที่ ทำธุรกิจมาตั้งแต่รุ่นปู่จนมาถึงตน ส่วนตัวไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบกับธุรกิจของครอบครัว ดำเนินกิจการในพื้นที่มากว่า 60 ปี สานต่อเจตนารมณ์ของครอบครัวที่ให้เน้นจ้างพนักงานที่เป็นคนในพื้นที่ ทำให้พนักงานของโรงงาน 99 % เป็นพี่น้องที่นับถือศาสนาอิสลาม อีกทั้งได้ร่วมทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อพื้นที่มาโดยตลอด โรงงานของเรามีคนงานซึ่งเป็นเเรงงาน
รายวันอยู่ในความดูแลรวม 13 ชีวิต ในช่วงเดือน
รอมฎอนพนักงานได้เข้ามาทำงานเต็มอัตราทุกวัน โดยทราบมาว่าพวกเขาต้องการมีรายได้เพื่อนำไปใช้จ่ายในช่วงเทศกาลฮารีรายอที่ใกล้จะมาถึง ดังนั้นทันทีที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นพนักงานของโรงงานต่างรู้สึกเสียใจมาก ที่โรงงานเกิดความเสียหายจนต้องปิดดำเนินการไปอย่างไม่มีกำหนด เป็นเหตุให้พวกเขาสูญเสียรายได้ ไม่มีเงินไปใช้จ่ายในการดูแลครอบครัวทั้งเงินเพื่อการดำรงชีพประจำวัน รวมทั้งภาระหนี้สิน และเงินที่จะนำไปใช้จ่ายในช่วงเทศกาลฮารีรายอตามที่วางแผนไว้

ทั้งนี้จากการประมาณการเบื้องต้นคาดว่าโรงงานจะต้องปิดดำเนินการอย่างต่ำราว 2 เดือน แต่จนถึงขณะนี้ตนยังไม่ทราบว่าจะมีวิธีการใดที่จะทำให้โรงงานสามารถกลับมาเปิดกิจการใหม่โดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินของตนในการจ่ายภาระหนี้สิน และมีรายได้ให้พนักงานที่เป็นเสาหลักของครอบครัว เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียรายได้ไปทันที ไม่ใช่เพียงเราที่ลำบาก ยังมีลูกน้องและครอบครัวของพวกเขาที่เราจะต้องนึกถึงด้วย ดังนั้นจึงอยากวิงวอนภาครัฐเร่งให้ความช่วยเหลือเยียวยาเพื่อสร้างขวัญกำลังใจและบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็วที่สุด

ด้านพนักงานรายหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ กล่าวว่า ในคืนเกิดเหตุนั้นตนและครอบครัวซึ่งประกอบด้วย ภรรยา และลูกอีก 2 คน (อายุ 3 ขวบ และ 1 ขวบกว่า ) กำลังนอนหลับอยู่ในบ้านพัก ภายในโรงงาน ช่วงเวลาประมาณ 01.00 น. ได้มีคนกลุ่มหนึ่งมาเคาะประตู แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และสั่งให้เปิดประตูทันที หลังจากที่ได้เปิดประตูได้พบเป็นชาย 3 คน เเต่งกายปกปิดมิดชิดคล้ายเจ้าหน้าที่ และได้สอบถามว่าตนมีอาวุธอะไรหรือไม่ ตนจึงตอบไปว่าไม่มีอาวุธ จากนั้นชายทั้ง 3 คนจึงได้สั่งให้ตนให้ไปปลุกครอบครัว และควบคุมตนและครอบครัวไม่ให้หลบหนี พร้อมบอกว่าอย่าขัดขืนแล้วจะไม่ทำร้าย ก่อนที่จะมีคนอีกกลุ่มเข้าก่อเหตุวางเพลิง โดยหลังจากก่อเหตุเสร็จ ผู้ก่อเหตุก็ได้สั่งให้ตนเเละครอบครัวออกจากพื้นที่โดยทันที ด้วยความหวาดกลัวตนเเละครอบครัวจึงได้วิ่งไปแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือจากทางผู้ใหญ่บ้าน

ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้รู้สึกเสียขวัญมาก สงสารภรรยาและลูกๆที่ยังเล็กมาก เพราะคงจดจำภาพเหล่านี้ที่ส่งผลกระทบทางจิตใจไปอีกนาน โดยจนถึงขณะนี้ก็ยังรู้สึกตื่นกลัวและหวาดระแวง เพราะเราไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน วันนี้โรงงานต้องหยุดดำเนินการโดยไม่รู้ว่าจะเปิดกิจการอีกครั้งได้เมื่อไหร่ ระยะเวลา 2 เดือนตามที่คาดการณ์ไว้ไม่รู้ว่าจะติดขัดอะไรหรือไม่เพราะโรงงานและเครื่องมืออุปกรณ์เกือบทุกอย่างได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ผมในฐานะลูกจ้างรายวันและเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องดูแลทั้งภรรยา และลูกก็ต้องสูญเสียรายได้ลง ทั้งนี้ขอวิงวอนให้ผู้ก่อเหตุสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ ขอให้หยุดสร้างสถานการณ์ก่อเหตุรุนแรง โดยอยากให้เห็นใจประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ด้วย

ด้าน พล.ต. เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บังคับบัญชากองพลทหารราบที่ 15 ลงพื้นที่ไปที่โรงงาน ของห้างหุ้นจำกัด อุตสาหกรรมนราดินขาว เพื่อเข้าเยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น โดยได้แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

และในเคราะห์ร้ายก็นับว่ายังมีสิ่งที่ดีคือเราไม่มีความสูญเสียในเรื่องของชีวิตเกิดขึ้น ต้องขอร่วมเป็นกำลังใจ ส่งมอบความห่วงใยให้กับผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ขอย้ำว่าภาครัฐพร้อมเคียงข้างดูเเล และจะไม่ทอดทิ้งผู้ได้รับผลกระทบทุกรายอย่างเเน่นอน นอกจากนี้ขอให้ทุกฝ่ายระวังในเรื่องการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริง ซึ่งอาจจะนำไปสู่การสร้างความเข้าใจผิดระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนได้ ทั้งนี้ตนได้ย้ำให้เจ้าหน้าที่ทั้ง3ฝ่าย รวมถึงหน่วยงานในพื้นที่โดยเฉพาะหน่วยกรมทหารพรานที่ 48 เพิ่มมาตรการดูแลในเรื่องความปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ จะต้องปิดช่องโหว่และหาวิธีการเสริมกำลังในการปิดช่องว่างนี้ลงให้ได้ เพื่อไม่ให้ผู้ที่ไม่หวังดีเข้ามาสร้างสถานการณ์ในพื้นที่ของเราได้อีกต่อไป

ทางด้านนายมาหะมะยากี หะยีมะ นายอำเภอเจาะไอร้อง กล่าวว่า ต้องขอเเสดงความเสียใจและขอเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวของผู้ได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ล่าสุดได้ประสานงานและบูรณาการกับเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย รวมถึงผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในการเฝ้าระวังการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ของผู้ไม่หวังดีอยู่เสมอ อีกทั้งได้เพิ่มมาตรการการรักษาความปลอดภัยให้กับพื้นที่มากยิ่งขึ้นและต้องขอให้ประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลพื้นที่ โดย
สามารถเเจ้งเบาะเเสที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้ตลอด 24 ชั่วโมงทางสายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า 1341 ส่วนการช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นจะให้มีการประเมินความเสียหายของทรัพย์สินที่เกิดขึ้นก่อน จากนั้นจะมีการประเมินตามหลักการพิจารณาการเยียวยาของคณะกรรมการในระดับอำเภอก่อนที่จะส่งต่อสู่คณะกรรมการระดับจังหวัดเพื่อการพิจารณาการอนุมัติให้ความช่วยเหลือต่อไป ยืนยันจะเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้ได้รับผลกระทบได้รับการช่วยเหลือเยียวยาอย่างเป็นธรรมตามสิทธิ์ที่พึงได้รับอย่างเต็มที่