ชัยภูมิ อดีตแรงงานไทยในอิสราเอล นำความรู้การดูแลสวนองุ่น กลับมาต่อยอดที่บ้านเกิด พลิกผืนนาปลูกองุ่นในโรงเรือน จัดการด้วยวิธีเกษตรปราณีต องุ่นนอก ” 3 สี” และผลผลิตขายราคาทั้งปี

ชัยภูมิ///อดีตแรงงานไทยในอิสราเอล นำความรู้การดูแลสวนองุ่นกลับมาต่อยอดที่บ้านเกิด พลิกผืนนาปลูกองุ่นในโรงเรือนจัดการด้วยวิธีเกษตรประณีต องุ่นนอก “3 สี” ผลผลิตขายราคาทั้งปี

โดย นายศักดิ์ โชติพรหมราช อายุ 65 ปี เเละ นายอนันต์ โชติพรหมราช 35 ปี ลูกชาย สองพ่อลูก เจ้าของสวนองุ่นตาศักดิ์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ บ้านหนองใหญ่ ต.ซับใหญ่ อ.ซับใหญ่ จ.ชัยภูมิ เล่าให้ฟังว่า กว่า 5 ปีที่ไปทำงานเป็นแรงงานเกษตรอยู่ที่อิสราเอล โดยผ่านทางกรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่งไปทำงานตามสัญญาการว่าจ้างฯ และ สำหรับตนเองแล้วถือว่าโชคดีมากได้ทำงานฟาร์มที่ผลิตพืชตรงกับใจซึ่งนึกชอบอยู่ก่อนหน้า นายจ้างเป็นเจ้าของสวนองุ่นคุณภาพ และ เขาเองมีความเชี่ยวชาญด้านพืชชนิดนี้เป็นอย่างดีอีกด้วย การได้เห็นของจริง(วิธีการผลิต) และ ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยจัดการ ทำให้เปลี่ยนแนวคิดของตนใหม่จากก่อนเคยมอง “องุ่น” เป็นพืชของคนรวยมีทุนเท่านั้นจึงจะทำได้ ซึ่งพอกลับมาบ้าน(เมืองไทย)จึงไม่ยอมพลาดโอกาสในการทดลอง “ทำ” เพื่อให้รู้กันว่าจะสามารถทำได้ไหม!

เดิมทีพื้นที่ผลิต 5 ไร่ตรงนี้ คุณอนันต์ ในวัย 37 ปีบอกว่าเคยมีสภาพเป็น “นาดอน” เคยปลูกมันสำปะหลังมานาน เหตุเพราะน้ำท่วมถึงในช่วงหน้าฝน ก็เลยคิดว่านี่แหละเหมาะดีที่จะลองสร้าง “โรงเรือน” เพื่อปลูกองุ่นดู ทั้งนี้ ได้เริ่มหาความรู้ก่อนในระดับหนึ่งแล้วจากผู้รู้เรื่องการผลิตองุ่นในประเทศไทย จนกระทั่งได้รับคำแนะนำให้ปลูกเป็นรูปแบบของ “สวนเปิด” ให้คนเข้ามาเที่ยวชมดูงานได้พร้อมเรียนรู้เรื่องวิธีต่าง ๆ ในการผลิตควบคู่ไปด้วย ซึ่งตนก็เห็นว่าดีจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อแชร์กับคนอื่น ๆ ต่อ ยอดเพิ่มเติมไปอีก ดังนั้นสวนองุ่นลุงศักดิ์ ซึ้งใช้ชื่อสวนเป็นชื่อของพ่อ จึงได้เกิดขึ้นมาภายใต้จุดมุ่งเน้นดังกล่าวถึงตอนนี้ก็ได้การตอบรับดี

ซึ้งตนเน้นปลูกองุ่นสายพันธุ์จากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าแหล่งที่มาก็มีทั้งจากอิสราเอลรวมไปถึงแหล่งพันธุ์อื่น ๆ ที่ขึ้นชื่อด้วย รวมกันแล้วในช่วงแรกมีมากกว่า 6 สายพันธุ์ ประกอบด้วย ไซมัสคัส แบล็คโฮปอ ไวท์มะละกา สกาล็อตต้า ซุบเปอร์สวิช นิ้วมือแม่มด ที่นำมาปลูกทดสอบดู และ มีครบทั้ง องุ่นแดง, องุ่นดำ และ องุ่นเขียว ซึ่งแต่ละสายพันธุ์นั้นมีชื่อเสียงตามที่ตลาดมีความนิยมกันอยู่ ปลูกไปก็เรียนรู้ไปจากนิสัยของพืชที่ต่างสายพันธุ์กันให้ผลเป็นอย่างไรบ้าง จนพบว่าบางพันธุ์ไม่สามารถผลิต (เอาลูก) ไม่ได้เพราะสภาพอากาศไม่เหมาะกัน แต่ว่าสำหรับพันธุ์ที่ทำได้ก็ให้ผลผลิตที่ดี เป็นองุ่นนอกไร้เมล็ด รสชาติหวานกรอบ ที่ถูกปากของคนไทย

สวนเปิดให้คนที่สนใจเข้ามาเรียนรู้เรื่องการทำองุ่น

ทั้งนี้ก็จะมีบางพันธุ์ผลิตได้แต่อาจไม่ตรง ที่ตลาดส่วนใหญ่ต้องการหรือว่าคุ้นเคยกันดี เพราะที่นี่จะทำแบบไม่ใช้สารบังคับใด ๆ เพื่อเร่งให้เมล็ดฝ่อ ธรรมชาติของสายพันธุ์เป็นองุ่นที่มีเมล็ดอยู่แล้ว ดังนั้นที่สวนผลิตจึงเป็นเพียงการเน้นปลอดสาร (ที่มีเมล็ดอยู่) รสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวไม่แตกต่างต้นตำรับจากต่างประเทศ เหตุผลสำคัญคือเรื่องต้นทุนในการจัดการที่ยุ่งยากเกินไป และ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค การปลูกในโรงเรือนแบบนี้สามารถช่วยลดการใช้สารเคมีปราบศัตรูพืชลงได้ แบบแนวทางการผลิต GAP คือ ใช้เคมีด้วย มีปุ๋ยหรือธาตุอาหารหลักพืช (NPK) สารปราบศัตรูพืชใช้ตามความจำเป็นโดยเน้นเป็นกลุ่มของ “สารชีวภัณฑ์” ไตรโคเดอร์มา, บีที, บีเอส ฯลฯ เพื่อการบริโภคที่ปลอดภัยเป็นหลัก

สำหรับการปลูกภายใต้ “โรงเรือน” ที่มุงหลังคาด้วยผ้าพลาสติก ขณะที่การผลิตทำได้ทั้งปีเพราะองุ่นสามารถบริหารจัดการให้มีผลผลิตออกตามแผนการพรุนนิ่ง (การตัดแต่งกิ่ง) มีการสะสมอาหาร และ การควบคุมโดยจำลองสภาวะให้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแบบต่างประเทศ(ใช้วิธีงดน้ำ) เพื่อกระตุ้นให้พืชเกิดการติดดอก-ออกผลตามมาได้ ดังนั้นความพยายามแก้ปัญหาโดยการออกแบบโครงสร้างของโรงเรือนปลูกให้กว้างใหญ่ขึ้น สูงขึ้นเป็น 2.70 เมตร เพื่อการถ่ายเทอากาศที่ดีกว่า ทั้งยังมีการจัดการใหม่เรื่อง “ปลูกหลายสายพันธุ์ที่ทำเป็นล็อคๆล่ะ 1 ชนิด อายุการเก็บเกี่ยวก็จะใกล้เคียงกันด้วย ฯลฯ การแยกทำ และ ควบคุมด้วยวิธีเกษตรแบบประณีต ใช้เทคนิคใหม่ในการตัดแต่งกิ่งเพื่อสร้างผลผลิต และ ช่วยยืดอายุของต้น ที่สามารถอยู่ได้ยืนนานขึ้น

การปลูกในระยะห่างที่เหมาะสมช่วยเรื่องการจัดการง่าย โดยเลือกช่วง 4-5 เมตร การทำค้างซึ่งตอนแรกเน้นจัดทรงเป็นรูป “ตัววาย”(Y) หรือทรงก้างปลาที่จัดระเบียบต่าง ๆ ในแปลงได้ง่ายขึ้นกว่าแท่น การไม่ยกร่องปลูก ที่พบว่าไม่จำเป็นสำหรับพื้นที่นี้ การให้น้ำจากเดิมวางเป็นระบบน้ำหยดไว้แต่พบว่าไม่เวิร์กสำหรับการให้ปุ๋ยแบบเม็ด จึงเปลี่ยนเป็นแบบหัวจ่ายมินิสปริงเกลอร์แทน และ ตอนหลังยังได้เปลี่ยนวิธีการใส่ปุ๋ยเป็นแบบละลายน้ำก่อนนำไปใช้ราดลงโคนต้นขององุ่นโดยตรงแทน เป็นต้น

ส่วนการผลิตในปัจจุบันคุณอนันต์ บอกว่า ได้มีการวางแผนจัดการเพื่อให้มีผลผลิตทยอยออกทุกเดือน แบบไล่รุ่น จากพื้นที่ผลิต1 มีองุ่นที่ปลูกไว้รวมกัน 12 แถว วางแผนให้ออกลูกตัดขายได้ปีละ 2 ครั้ง โดยใน 1 ปีต้นองุ่นจะทำให้ติดดอก-ออกผลได้ 2 รอบ/ต้น หรือคิดเป็นผลผลิตเฉลี่ย 200-300 กก./รุ่น/เดือน จากองุ่นนอก 6 สายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตได้แล้วและมีให้เลือกครบทั้ง 3 สี(แดง ดำ เขียว) โดยที่สวนจะตั้งราคาจำหน่ายทุกพันธุ์ในราคา คือ 100-250 บาท/กก. มีการสื่อสารกับลูกค้าผ่านเฟซบุ้กชื่อ : Athipat Butsaban เพื่อนำเสนอเรื่องราวการผลิตของสวนเป็นการอัปเดตให้ผู้ที่ติดตามได้ทราบอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งทำให้เกิดการสั่งซื้อผลผลิตเข้ามา และ ส่วนหนึ่งเกิดจากการเปิดสวนให้คนเข้าชมด้วย กลายเป็นว่าทำไปทำมาผลผลิตไม่พอขาย เริ่มเกิดความมั่นใจ และ มีแนวคิดว่าอยากจะขยายเพิ่มอีกต่อไป

คำหอม ชุมชน 02 ผู้สื่อข่าว จ.ชัยภูมิ

Leave a Reply

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com
Share via
Copy link